ระบำชุด เมขลารามสูร

เมขลา-รามสูร เป็นระบำเรื่อง ของนาฏศิลปะไทย มีมาแต่โบราณ สำหรับแสดงเบิกโรงก่อนที่จะแสดงนาฏศิลปเรื่องใหญ่ เข้าใจว่าตรงกับ Prelude ของฝรั่ง เมขลา เป็นชื่อของนางฟ้าประจำทะเล คือ สมุทรเทวี ส่วนรามสูร เป็นชื่อของยักษ์ถือขวาน เข้าใจว่าเพี้ยนมาจาก “รามปรศุ” เรื่องที่เล่ากันมาแต่โบราณมีว่า
.
เมื่อถึงฤดูฝน ฝูงเทพบุตรเทพธิดาต่างก็ออกจากวิมานของตนๆ แล้วมาชุมนุมกันเล่นนักษัตรจับระบำรำฟ้อนกันสนุกสนาน มีเทวดาองค์หนึ่ง ชื่อ อรชุน มีพระขรรค์เป็นอาวุธคู่มือก็ออกจากวิมานของตนมาร่วมสนุก นางเมขลามีดวงแก้วเป็นคู่มือ ก็มาร่วมขับร้องเพลงและโยนแก้วมณีเล่นเป็นแสงแวววับ ในขณะเดียวกันนั้น รามสูรยักษ์จรจัดไม่มีวิมานอยู่เที่ยวอาศัยอยู่ตามกลีบเมฆ มีขวานเป็นอาวุธคู่มือ ก็จะมาร่วมสนุกกับเขาบ้าง แต่พอมาเห็นนางมณีเมขลาโยนแก้วเล่น ก็อยากได้แก้ว จึงวิ่งตามไล่จับ คิดจะแย้งเอาดื้อๆ นางเมขลาก็เยาะเย้าทำท่าจะให้แก้ว แล้วก็ไม่ให้ ผละหนีไปเสีย พอรามสูรตามใกล้จะทันก็โยนแก้วฉายแสงเข้าตารามสูรให้ตาฟางตามหานางไม่พบ รามสูรก็โกรธ พอหายมัวตา ก็ขว้างขวานดัง ครื้นครั่น

.
ซึ่งผู้ใหญ่ผู้เฒ่าแต่ก่อนมาชอบเล่าให้ลูกหลานฟังว่า เวลาเสียงครื้นครั่นสนั่นหวั่นไหวนั้น ว่าเป็นเสียงขวานของรามสูรที่ขว้างไป ทั้งยังมีเรื่องเกร็ดเล่าต่อไปว่า ที่จริงตัวรามสูรเองนั้นไม่ต้องการดวงแก้วมณี อยากได้แต่ตัวนางมณีเมขลาส่วนดวงแก้วนั้นรามสูรจะเอาไปให้พระอินทร์ เพราะพระอินทร์ท่านสั่งไว้ ด้วยแก้วดวงนั้นนางเมขลาไปลักเอาของพระอินทร์ท่านมา เพราะนางเมขลาต้องมีหน้าที่เข้าเวรรับใช้พระอินทร์เป็นครั้งคราว พระอินทร์คงจะไปเที่ยววางทิ้งเผอเรอไว้ จึงให้นางเมขลาลักไปได้และจะติดตามกันมาแต่กาลครั้งไรไม่ทราบ เข้าใจว่าว่าจนบัดนี้ รามสูรก็ยังไม่ได้ตัวนางเมขลาและพระอินทร์ก็ยังไม่ได้ดวงแก้วมณีคืน เพราะยังเห็นแสงแก้วที่นางเมขลาฉายแสงเป็นฟ้าแลบแวบวับ และเสียงขวานของรามสูรเป็นฟ้าร้องเปรี้ยงปร้างอยู่ แสดงว่ายังติดตามกันอยู่จนทุกวันนี้ ยิ่งฤดูฝนด้วยแล้วดูติดตามกันกระชั้นชิดมาก ในขณะที่ติดตามกันอยู่นั้นอรชุนได้เหาะผ่านตัดหน้ารามสูรไป รามสูรจึงโกรธหาว่าอรชุนดูหมิ่น จึงละจากติดตามนางเมขลา ตรงเข้ารบกับอรชุน ในที่สุดอรชุนพลาดท่า ถูกรามสูรจับขาฟาดกับเขาพระสุเมรุ อรชุนก็ตาย

เนื้อเรื่องที่เล่ามานี้ แต่เดิมคงเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ แล้วภายหลังนึกให้ดินฟ้าอากาศเหล่านี้เกิดเป็นตัวตนขึ้น เช่น เป็นยักษ์ นางฟ้า เทวดา เป็นต้น เอาเรื่องฟ้าผ่าฟ้าร้องให้มีตัวตนเป็นยักษ์ถือขวาน ขว้างขวานไปทีไรก็เป็นเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เอาเรื่องฟ้าแลบให้มีตัวตนเป็นนางฟ้าถือดวงมณี และเอาเรื่องของฝนฟ้าให้มีตัวตนเป็นเทวดาแล้วเอาชื่อเทวดาทางอินเดียที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเรื่องที่กล่าวมานี้ให้เป็นชื่อของทั้ง ๓ นี้ว่า รามสูร เมขลา และอรชุน ทางนาฏศิลปของไทยโบราณ นำเอามาจัดทำเป็นระบำเรื่องสำหรับเล่นเบิกโรง บรรจุท่ารำในเรื่องนี้ให้เห็นได้เด่น เช่น ท่าแสดงความรื่นเริงสนุกสนาน

ท่ายั่วยวน ท่ารัก ท่าดีใจ ท่าโกรธเคืองขัดแค้น ท่าโลดไล่ติดตามด้วยความรักและความโกรธ เหล่านี้เป็นต้น ล้วนมีลีลาอันงดงามแบบนาฏศิลปของไทย และแทรกเพลงขับร้องกับเพลงดนตรีเข้าประกอบให้ฟังไพเราะ นิยมกันว่า ระบำเรื่องเมขลารามสูรนี้เป็นนาฏศิลปชั้นเยี่ยมชนิดหนึ่งของไทย เคยมีบทขับร้องที่ปรับปรุงตัดทอนมาจากพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ สำนวนรัชกาลที่ ๑ ส่วนเพลงดนตรีประกอบระบำเป็นเพลงหน้าพาทย์ที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครราชสีมาทรงบรรจุไว้แต่เดิม
.
.
คัดลอกมาจากหนังสืองานศพ คุณปู่สวัสดิ์ พันธุ์มณี